แกะกล่อง พรีวิว Apple Watch Series 7 ตัวเรือนอะลูนิเนียม สีเขียว ขนาด 45 มม. รุ่น GPS + Cellular จะสวยงามแค่ไหน มาชม

Apple ประกาศวางจำหน่าย Apple Watch Series 7 อย่างเป็นทางการแล้ว โดยจะเริ่มวางจำหน่ายที่ร้านตัวแทนจำหน่ายของ Apple ในวันที่ 21 ตุลาคม และเริ่มวางจำหน่ายที่ Apple Store วันที่ 22 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป สำหรับวันนี้ The All Apps ก็มีแกะกล่องพร้อมพรีวิว ตัวเรือนอะลูนิเนียม สีเขียว ขนาด 45 มม. รุ่น GPS + Cellular มาฝาก จะสวยงามแค่ไหน มาชมกันเลย

แกะกล่อง ส่องอุปกรณ์

ตัวกล่องของ Apple Watch ยังคงมาในกล่องสีขาวและมีการเจาะคว้านตัวกล่องอกไปให้เห็นเป็นคำว่า  WATCH ตรงกลางกล่อง เมื่อพลิกดูด้านหลังก็จะพบกับรายละเอียดต่างๆ ที่มาเป็นภาษาไทย และมีการบอกสี รวมไปถึงตัวเรือน และสายที่มาในตัวกล่องอีกด้วย

ตัวกล่องก็เปิดออกง่ายๆ ด้วยการเปิดสลักกระดาษด้านข้างออก และภายในก็จะพบกับกล่องของตัวเรือน Apple Watch และ กล่องของสายที่เลือกมา

โดยกล่องของ Apple Watch จะมีการติดสติ๊กเกอรกระดาษลักษณะเดียวกันกับกล่องของ iPhone 13 ส่วนกล่องของสายจะเป็นพลาสติกนุ่มๆ เหมือนเดิม

มาดูตัวสายกันก่อน ที่เลือกมาจะเป็นสาย Clover Sport Band สีเขียวที่เข้ากับตัวเรือน จะมีสายมาให้ 3 เส้น โดย 1 เส้นจะเป็นเส้นหลักที่มีตะขอไว้ใช้งานกับสายอีก 2 ขนาด หากใครที่ข้อมือใหญ่ ก็ใช้สายแบบยาวได้ หรือถ้าข้อมือเล็กก็ใช้สายแบบสั้นแทน

มาดูในกล่อง Apple Watch กันต่อ เมื่อเปิดออกมาก็จะพบกับตัวเรือนที่มีการห่อหุ้มกันรอยมาอย่างดี ส่วนด้านขวาจะเป็นซองสำหรับใส่เอกสารต่างๆ และถ้าเป็นรุ่น GPS + Cellular จะมีเอกสารของ กสทช. มาด้วย ด้านใต้จะก็จะเป็นสายชาร์จแม่เหล็กสำหรับชาร์จกับ Apple Watch

สำหรับสายชาร์จแบบแม่เหล็กของรุ่นนี้ได้มีการปรับปรุงใหม่เล็กน้อย โดยจะเปลี่ยนจาก USB-A มาเป็น USB-C และฐานชาร์จแม่เหล็กเป็นอะลูมิเนียมแล้ว เช่นเคย ไม่ได้แถมอะแดปเตอร์ชาร์จมาให้

ดีไซน์ Apple Watch Series 7 ตัวเรือนอะลูนิเนียม สีเขียว ขนาด 45 มม. รุ่น GPS + Cellular

ในรุ่นนี้ตัวเรือนได้ปรับขนาดมาใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าเล็กน้อย โดยจะมีขนาด 41 มม. และ 45 มม. ใช้วัสดุอะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% สำหรับสีเขียวสีใหม่จะออกแนวสีเขียวเข้ม ไม่ได้ดูสีเขียวมากจนเกินไป ในบางมุมหรือดูไกลๆ ก็จะออกไปสีดำด้วยซ้ำ สำหรับรุ่น GPS + Cellular จะมีวงสีแดงตรง Digital Crown หรือที่คนไทยชอบเรียกว่าเม็ดมะยมนั่นเอง

ในฝั่งขวาของตัวเรือนก็จะมีรูไมโครโฟนสำหรับพูดคุยสนทนาและปุ่ม Dock โดยสามารถตั้งให้เป็นปุ่ม Recent apps หรือ Faverite apps ได้

อีกฝั่งจะมีลำโพงสปีกเกอร์ที่คราวนี้ดีไซน์มาเป็นช่องเดียวในแนวยาวขึ้น

ด้านหลังตัวเรือนจะมาพร้อมกับเซ็นเซอร์วัดออกซิเจนในเลือด และเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ด้านบนและด้านล่างจะเป็นปุ่มสำหรับกดปลดล็อคสาย

นอกจากจะมีขนาดตัวเรือนที่ใหญ่ขึ้นแล้ว ยังมีหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นด้วย โดยเป็นจอภาพ Retina ขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยมีมาใน Apple Watch มีพื้นที่หน้าจอมากกว่า Series 6 เกือบ 20% และพื้นที่หน้าจอมากกว่า Series 3 กว่า 50% และด้วยความกว้างเพียง 1.7 มม. ขอบนั้นบางกว่า Series 6 ถึง 40% อีกทั้งหน้าจอยังสว่างขึ้นกว่าเดิม 70% ทําให้หน้าจอโดดเด่นมากขึ้นกว่าเดิม

ถึงแม้ขนาดตัวเรือนจะใหญ่กว่าเดิมเล็กน้อย ซึ่งพอวางเปรียบเทียบกันแล้วจะเห็นถึงความแตกต่างของหน้าจอที่ชัดเจนขึ้น และพอสวมใส่เข้าที่ข้อมือรู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่มากขึ้นและขนาดที่ใหญ่ขึ้น รู้สึกเต็มข้อมือกว่า Series 6

ใน Series 7 จะมาพร้อมกับหน้าปัดกาลเวลา หรือ Contour มาให้ใช้งาน ได้แรงบันดาลใจจากดีไซน์นาฬิกาช่วง มิด-เซนจูรี่ ตัวเลขบนหน้าปัดจะกระจายไปตามขอบ จอภาพ เมื่อยกข้อมือขึ้น ตัวเลขต่างๆ จะเคลื่อนไหว และติดสว่างตลอดเวลา ช่วยสร้างเอฟเฟ็กต์แว่นขยาย ที่จะไฮไลท์เวลาในปัจจุบัน

อีกสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงไปก็คือ การปรับปรุงขอบมุมของตัวเรือนที่มนกว่าเดิม ด้านหน้าแบบคริสตัลที่หนาขึ้นกว่า Series 6 ถึง 50 % จะหักเหแสงจากหน้าจอท่ีบริเวณขอบจอทำให้ได้การแสดงผลที่สวยงามมากขึ้นและยังเพิ่มความทนทานให้กับหน้าจออีกด้วย

ตัวเรือนทนน้ำทนฝุ่นมาตรฐาน IP6X และ Series 7 มาพร้อมกับชิป SiP รุ่น S7 ความเร็วระดับเดียวกันกับ SiP รุ่น S6 และเร็วกว่า SiP รุ่น S5 ใน Apple Watch SE ถึง 20% พร้อมกันนี้ยังใช้ชิป U1 และอัลตร้าไวด์แบนด์สำหรับการสื่อสารไร้สายระยะใกล้คล้ายกับ NFC ช่วยให้ระบุตำแหน่งและทิศทางได้อย่างแม่นยำ

มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ wacthOS 8 มีฟีเจอร์ด้านสุขภาพและการออกกำลังกายให้ใช้งานกันอย่างมากมาย รวมถึง UI ที่ปรับมาให้ใช้งานผ่านหน้าจอ Apple Watch ได้ง่ายขึ้น สำหรับการใช้งานจะเป็นอย่างไร เดี๋ยวต้องขอไปใช้งานสักพักนึงก่อน แล้วจะกลับมารีวิวห้ได้ติดตามกันอีกครั้ง

Exit mobile version